วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

จังซี่มันต้องถอน!! ''ตี๋'' สินทวีชัย หทัยรัตนกุล 10 ปีที่ห่างถุงมือทีมชาติ


''อโรคยา ปรมาลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ'' คำสอนแห่งองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใดก็ยังเป็นคำพูดที่ฟังดูแล้วไม่ล้าสมัย เพราะคงจะไม่มีใครปฏิเสธว่าการมีสุขภาพดี มีค่ากว่าการมีเงินทองร้อยล้านด้วยซ้ำไป! 

  
        เฉกเช่นเดียวกับเกมลูกหนังในยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงบนวิถีที่ต่างจากอดีตอันไม่มีความแน่นอนในอาชีพ ทว่าปัจจุบันเมื่อฟุตบอลเสพสังวาสกับความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมอย่างจับต้องได้ อาการบาดเจ็บสำหรับนักเตะสักหนึ่งคนจึงต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ  

  
        มั่นใจได้เลยว่าไม่มีใครอยากนัดพบกับอาการบาดเจ็บนั่งแกร่วอยู่ข้างสนามดูเพื่อนเล่น เพราะนั่นหมายความว่ารายได้อันมหาศาลที่รออยู่ข้างหน้าจะถูกบีบหดลดเหลือน้อยกว่าเดิม 

  
        เชื่อหรือไม่ว่า ''เจ้าตี๋'' สินทวีชัย หทัยรัตนกุล นายทวารจอมหนึบวัย 31 ปี จากค่าย ''ฉลามชล'' ชลบุรี เอฟซี เป็นนักเตะที่ไม่เคยห่างหายจากทีมชาติเลยสักครั้ง
            ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนนายกสมาคมฟุตบอลฯ
            ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยน ผจก.ทีม 
             และไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงตัวกุนซือ 

  
        ทว่าสิ่งที่ทีมชาติไทยไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยก็คือผู้รักษาประตู จากชื่อเดิม ''โกสินทร์'' มาเป็น ''สินทวีชัย'' เขาก็ยังเป็นโลโก้หมายเลข 1 ของทัพ ''ช้างศึก'' เช่นเดิม 
 
กระทั่งอยู่มาวันหนึ่งด้วยอาการบาดเจ็บทำให้ ''ตี๋'' ต้องขอพักเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บไม่ให้กำเริบมากไปกว่านี้ 

  
        ''ผมได้หารือกับทาง ''วินนี่'' ตั้งแต่ก่อน ''คิงส์คัพ'' จะเริ่มต้นขึ้นมาจบทัวร์นาเมนต์นี้ผมจะขอพักรักษาตัวนะ เพราะต้องเข้าตรวจอาการบาดเจ็บแบบอัลตราซาวนด์ บริเวณนิ้วนางที่เรื้อรังมานาน ก่อนหน้านี้ต้องฝืนเล่นมาตลอด จึงทำให้ต้องตัดสินใจถอนตัวจากทีมชาติชุด เอเชียนคัพ'' นายทวารจอมหนึบทีมชาติไทยเปิดใจถึงอาการบาดเจ็บ
 
  
        แฟนบอลหลายคนอาจจะมีคำถามที่ยังคาใจที่อยากจะคลี่ให้ตึงถึงคำตอบว่า ''เจ้าตี๋'' ถอนตัวเพราะไม่ได้เป็นมือหนึ่งทีมชาติไทยหรือเปล่า แม้ฟอร์มดีกับทีม ชลบุรี เอฟซี ทว่ายังต้องสำรองประตูรุ่นน้องอย่าง ''กวินบินได้'' อยู่วันยังค่ำ 

    
          ''ยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวกับการลงสนามเป็นมือหนึ่งซึ่งไม่ใช่เหตุผลในการถอนตัว ผมรับใช้ชาติมานานตั้งแต่เยาวชน 17 ปี กระทั่งไต่ระดับจากปรีโอลิมปิกสู่ซีเกมส์ ก่อนจะขึ้นชุดใหญ่'' 

     
        ''เป็นสำรอง ''พี่บอย'' กิตติศักดิ์ ระวังป่า และใครอีกหลายคนจนกว่าจะยึดมือหนึ่งได้ต้องใช้ความมุ่งมั่นตั้งใจมากเป็นพิเศษ ถ้าไม่เจ็บจริงๆ คงจะไม่ถอน'' มือกาว เมืองชล คอนเฟิร์ม 

    
        อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรมีแนวโน้มจะหายเมื่อไหร่ทีมชาติจะคัมแบ็กตอนไหน เชื่อว่าเป็นคำถามที่แฟนบอลส่วนใหญ่อยากจะรู้ 
      
        ''มาจนถึงขณะนี้มีน้องๆ หลายคนมาช่วยแบ่งเบาภาระผมถือว่าเป็นเรื่องดีที่ทีมชาติไทยไม่เคยขาดผู้รักษาประตูฝีมือดี ส่วนตัวของผมเองยืนยันว่าอยากรับใช้ชาติจนกว่าจะไม่ไหว'' 

     
        ''ส่วนอาการบาดเจ็บนั้นหลังจากที่เอกซเรย์หมอก็บอกว่าน่าจะหายทันเปิดเลกแรกไทยลีกแน่ถ้าโค้ชทีมชาติเรียกตัวผมไปแน่นอนเพราะชีวิตผมความใฝ่ฝันอันสูงสุดก็คือ ''ทีมชาติไทย'' เจ้าตี๋ กล่าวทิ้งท้าย 

     
        ว่ากันว่าในรอบ 10 ปีชื่อของ ''สินทวีชัย'' ไม่เคยห่างหายจากทีมชาติไทย ทว่าหนนี้ที่ต้องถอนก็เพราะอาการบาดเจ็บไม่มีเหตุผลอื่นใดแอบแฝง! 

          เชนชิโร่ 

ประวัติของ ลิโอเนล เมสซี่

ประวัติของ ลิโอเนล เมสซี่


 
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อเต็ม :
 ลิโอเนล อันเดรส เมสซี่
วันเกิด :
 24 มิถุนายน 1987
สถานที่เกิด :
 โรซาริโอ , ประเทศอาร์เจนติน่า
ส่วนสูง :
 169 ซม.(5ฟุต 6นิ้ว)
น้ำหนัก :
 67 กก.
ฉายา :
 เมสซิโดน่า, ลีโอ
ตำแหน่ง :
 กองหน้าตัวต่ำ/กองกลางตัวรุก
ข้อมูลสโมสร
สโมสรปัจจุบัน :
 บาร์เซโลน่า
หมายเลข :
 10
ประวัติการค้าแข้ง
ปี
สโมสร
ลงเล่น
(ประตู)
1995 - 2000  
 นักเตะฝึกหัดของสโมสร นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์
-
2000 - 2004  
  นักเตะฝึกหัดของสโมสร บาร์เซโลน่า
-
2004 - ปัจจุบัน  
  สโมสรบาร์เซโลน่า
249
(221 )
2005 - ปัจจุบัน  
  ทีมชาติอาร์เจนติน่า
83 ( 37 )
     นับตั้งแต่สิ้นยุคของมหัศจรรย์ลูกหนังอาร์เจนไตน์ "เสือเตี้ย" ดีเอโก้ มาราโดน่า ก็มีนักเตะพรสวรรค์สายเลือดใหม่มากมายที่ถูกเปรียบเทียบกับเทพเจ้าลูกหนังรายนี้ แต่ดูเหมือนว่าในที่สุดมาราโดน่า ก็ได้พบกับทายาทที่แท้จริงจนได้กับเจ้าหนูมหัศจรรย์ "ลิโอเนล เมสซี่"     ลิโอเนล เมสซี่ หรือในชื่อเต็มว่า ลิโอเนล อันเดรส เมสซี่ เกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ปี 1987 เป็นเมสซี่เป็นเด็กหนุ่มที่เกิดในแคว้นซานตา เฟ่ ที่เมืองโรซาริโอ ประเทศอาร์เจนติน่า 
     เจ้าหนูลิโอเนล หรือ "ลีโอ" เริ่มต้นเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่ 5 ขวบ และได้อยู่กับสโมสรเล็กๆที่ชื่อว่า กรานโดลี่ ซึ่งมีพ่อเป็นโค้ชให้ จนกระทั่งในปี 1995 ก็ได้ย้ายไปอยู่กับสโมสรที่ใหญ่กว่าอย่างนีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ เพื่อเรียนวิชาลูกหนังที่เข้มข้นกว่าเดิม
     เมื่อได้ย้ายมาสู่นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ สโมสรในระดับลีกสูงสุดของอาร์เจนติน่า เส้นทางของเจ้าหนูตัวเล็กรายนี้น่าจะไปได้สวยและมีโอกาสจะค่อยๆ ไต่ขึ้นไปสู่ทีมชุดใหญ่ได้ในอนาคตก้าวสู่เส้นทางลูกหนังตั้งแต่อายุ 11 ปี โดยไปร่วมสังกัดนีเวลล์ส โอลด์ บอยส์

     แต่ในขณะที่เมสซี่ กำลังจะไปได้ดี โชคชะตาก็เล่นตลกกับเขาอย่างจัง เมื่อร่างกายที่เล็กเกินกว่าเพื่อนร่วมรุ่นขาดพัฒนาการ ร้อนถึงพ่อต้องจับตรวจและพบว่าเมสซี่ มีปัญหาในเรื่องการเจริญเติบโตของร่างกาย เนื่องจากฮอร์โมนบางตัวได้ขาดไป และพ่อแม่ของเขาก็ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาที่แสนแพงในอาร์เจนติน่าได้

     ในขณะที่หนทางกำลังจะตีบตัน ครอบครัวเมสซี่ ก็พบกับทางสว่าง เมื่อการ์เลส เรซัค ผู้อำนวยการด้านกีฬาของบาร์เซโลน่า ได้เห็นฟอร์มของเจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้และประทับใจกับพรสวรรค์ที่มีเหลือล้นในตัว เรซัค จึงได้ยื่นข้อเสนอให้ว่าทางบาร์เซโลน่า ยินดีที่จะจ่ายเงินค่ารักษาให้แต่ว่าเมสซี่ จะต้องไปอยู่ที่สเปน ครอบครัวเมสซี่ไม่ปฏิเสธโอกาสนั้น จึงได้ตัดสินใจเดินทางไปอยู่ที่สเปนพร้อมกันทั้งครอบครัว เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน

     ด้วยพรสวรรค์ ฝีเท้า และความเร็วในตัวเขา ทำให้เจ้าหนูเมสซี่ค่อยๆ ก้าวเป็นดาวเด่นในทีมระดับเยาวชนของบาร์ซ่า ก่อนจะถูกดันขึ้นสู่ทีมบาร์เซโลน่า บี อย่างรวดเร็ว
     เส้นทางชีวิตของเมสซี่ ยังแรงและเร็วเหมือนจรวดทะยานขึ้นฟ้า เพียงแค่ไม่นานเขาก็กลายเป็นตัวหลักในทีมบี และทำผลงานเหลือเชื่อด้วยการยิงไปถึง 37 ประตูจากการเล่นแค่ 30 นัดเท่านั้น ฟอร์มการเล่นระดับนี้ไม่มีทางที่แฟรงค์ ไรจ์การ์ด นายใหญ่ทีม "เจ้าบุญทุ่ม" จะมองไม่เห็น และในปลายฤดูกาล 2004/05 ไรจ์การ์ด ก็เปิดทางให้เจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้ได้เริ่มต้นลงมาสัมผัสเกมในทีมชุดใหญ่ ซึ่งเมสซี่ ก็ใช้เวลาไม่นานในการควานหาประตูแรกในนัดที่พบกับอัลบาเซเต้ ซึ่งก็เป็นประตูสุดสวยด้วยการกระดกข้ามหัวผู้รักษาเข้าไป และเป็นประตูที่ทำให้เมสซี่ เป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ยิงให้บาร์ซ่าได้ในวัย 17 ปี 10 เดือนกับอีก 7 วัน

     หลังจากที่ได้ประเดิมเกมกับบาร์ซ่าไปแล้ว เมสซี่ ก็กลับมาเป็นแกนหลักของทีมชาติเยาวชนของอาร์เจนติน่า หลังได้ปฏิเสธโอกาสที่จะเล่นให้ทีมชาติสเปนไปก่อนหน้านั้น และในรายการฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์โลกที่เนเธอร์แลนด์ เมสซี่ ก็สร้างปรากฏการณ์ขึ้น เมื่อสามารถร่ายลีลาลูกหนังได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจและทุกคนที่ได้เห็นก็ต้องอุทานว่านี่มันดีเอโก้ มาราโดน่า ที่เกิดใหม่ชัดๆ ซึ่งในรายการนี้เมสซี่ เป็นกำลังสำคัญที่สุดในการพาทีมฟ้าขาวคว้าแชมป์และคว้าทั้งรางวัลดาวซัลโวด้วยจำนวน 6 ประตู และยังได้รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำรายการด้วย

     ทันทีที่จบรายการดังกล่าว บาร์ซ่า ก็จัดแจงต่อสัญญายาวให้เมสซี่จนถึงปี 2010 ทันที โดยมีเงื่อนไขในการย้ายทีมสูงถึง 150 ล้านยูโร มากกว่าโรนัลดินโญ่ รุ่นพี่ที่เป็นนักฟุตบอลหมายเลขหนึ่งของโลกถึงกว่า 30 ล้านยูโรเสียอีก และหลังจากนั้นไม่นาน ในวันที่ 4 ส.ค.2005 เมสซี่ ก็ถูกโฮเซ่ เปเกร์มาน เทรนเนอร์ทีมชาติอาร์เจนติน่า เรียกตัวติดทีมชาติชุดใหญ่ทันทีและได้ลงสนามนัดแรกทันทีในเกมกับทีมชาติฮังการี แต่ก็เป็นเกมประเดิมสนามที่เลวร้ายอย่างน่าเหลือเชื่อสำหรับเมสซี่ เมื่อถูกใบแดงไล่ออกจากสนามเพียงแค่ 40 วินาทีเท่านั้นหลังลงเล่นเนื่องจากผู้ตัดสิน มาร์คุส แมร์ก เห็นว่าไปชักศอกใส่วิลมอส วานซัค กองหลังทีมแม็กยาร์ที่พยายามดึงเสื้ออยู่ ทำให้เจ้าหนูมหัศจรรย์ต้องเดินออกจากสนามทั้งน้ำตา

     อย่างไรก็ตาม เมสซี่ ไม่ได้ท้อแท้มากนักและกลับมาลงสนามใหม่ให้กับทีมชาติอาร์เจนติน่า ในเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกกับปารากวัย ในวันที่ 3 ก.ย. 2005 ซึ่งแม้จะได้เล่นเพียง 8 นาทีและแพ้ด้วยสกอร์ 1-0 แต่เมสซี่ ก็ถือว่านัดนี้เป็นการลงเล่นนัดแรกครั้งใหม่ของเขาในสีเสื้อฟ้าขาว ถัดมาไม่นานในวันที่ 25 ก.ย. เมสซี่ ก็ได้เป็นพลเมืองของประเทศสเปน ทำให้สามารถที่จะลงสนามให้กับทีมบาร์เซโลน่าได้อย่างไม่ติดขัดอีก หลังต้องอดทนรอข้างสนามมานานนับเดือนเนื่องจากทีมบาร์ซ่า มีนักเตะนอกโควต้าอียูเกินที่กำหนดแล้ว และเมสซี่ ก็ก้าวมาเป็นกำลังหลักในทีมของไรจ์การ์ดทันที ในฐานะสามเหลี่ยมมหัศจรรย์ร่วมกับซามูแอล เอโต้ และโรนัลดินโญ่ นำบาร์ซ่า คว้าดับเบิ้ลแชมป์ทั้งลา ลีกา และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้อย่างยิ่งใหญ่ ในปีนี้เมสซี่ ยังได้รับรางวัลโกลเด้น บอย จากนิตยสารตุตโต้ สปอร์ตด้วย และชื่อของเจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้ก็เป็นที่กล่าวขานกันในวงการฟุตบอล ซึ่งแทบไม่มีใครที่ไม่รู้จักลิโอเนล เมสซี่

     แต่ในปี 2006 เมสซี่ พบกับช่วงเวลาที่ไม่ดีนัก หลังกลับมาจากฟุตบอลโลกครั้งแรกในชีวิตด้วยความผิดหวังเนื่องจากอาร์เจนติน่า ต้องร่วงตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือเจ้าภาพเยอรมัน แต่ตัวเขาเองก็พอจะทำผลงานได้ดีไม่น้อยโดยยิงได้ 1 ประตูในเกมกับเซอร์เบียแอนด์มอนเตเนโกร (ถล่มไป 6-0) และทำให้เป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้ในฟุตบอลโลกครั้งนี้
     หลังจากนั้น เมสซี่ เกิดโชคร้ายได้รับบาดเจ็บในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับแวร์เดอร์ เบรเมน ถึงขั้นกระดูกเท้าแตกจนต้องพักการเล่นมาอย่างยาวนานหลายเดือนนับจากนั้น อย่างไรก็ตาม เมสซี่ กลับมาลงเล่นได้อีกครั้งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และเป็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่เมื่อทำแฮตทริกได้ในเกม "เอล กลาซิโก้" กับทีมเรอัล มาดริด ในนัดที่เสมอกับบาร์เซโลน่า 3-3 ที่คัมป์ นู ซึ่งทำให้เมสซี่ กลายเป็นผู้เล่นคนแรกในรอบนับสิบปีที่ทำแฮตทริกได้ในเกมนี้ นับตั้งแต่อีวาน ซาโมราโน่ ทำไว้เมื่อปี 1994-95 และหากนับของบาร์ซ่า ก็เป็นคนแรกตั้งแต่โรมาริโอ ทำได้เมื่อปี 1993-94 เลยทีเดียว และยังเป็นเจ้าของสถิติผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ยิงได้ในเกมเอล กลาซิโก้ ด้วย

     แต่เรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมสซี่ เกิดขึ้นหลังจากนั้นเมื่อทำได้คนเดียว 2 ประตูในเกมโคป้า เดล เรย์ กับเคตาเฟ่ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือประสุดอัศจรรย์ด้วยการลากเดี่ยวจากครึ่งสนามฝ่าผู้เล่นเคตาเฟ่ 6 คนเข้าไปทำประตูอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งเป็นประตูที่แทบจะถอดแบบประตูแห่งศตวรรษที่มาราโดน่า ทำได้ในฟุตบอลโลก 1986 ที่เม็กซิโก ในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับทีมชาติอังกฤษ ที่ถือเป็นประตูในตำนานตลอดกาลของฟุตบอลโลกเลยทีเดียว
     หลังจากนั้นได้มีการนำสองประตูที่ว่ามาเปรียบเทียบกันแบบช็อตต่อช็อต และพบว่าเป็นประตูที่มาจากพิมพ์เดียวกันจริงๆทั้งจำนวนระยะทางที่เท่ากัน (62 เมตร) และยังเป็นการเลื้อยผ่านผู้เล่นเท่ากันคือ 6 คน (รวมผู้รักษาประตู) ยิงประตูจากมุมเดียวกัน แถมยังวิ่งไปฉลองการทำประตูที่มุมธงเหมือนที่มาราโดน่าทำอีกต่างหาก สิ่งเดียวที่แตกต่างคือมาราโดน่า แปด้วยเท้าซ้าย ส่วนเมสซี่ ยิงหักข้อด้วยเท้าขวา
     หนังสือพิมพ์ในสเปนถึงกับให้ฉายาใหม่แก่เมสซี่ว่า "เมสซี่โดน่า" ทีเดียวกับตำนานบทใหม่นี้ และทุกฝ่ายก็ต่างจับตามองเส้นทางของเจ้าหนูมหัศจรรย์คนนี้
     นอกเหนือจากการลากเลี้ยงสไตย์บาร์เซโลนาแล้ว ผลงานของเมสซี่ในช่วง 2007-2008 ไม่ค่อยมีใครจดจำนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าทางทีมต้นสังกัด บาร์เซโลนา ไปไม่ถึงไหน ตกรอบทุกรายการรวมถึงโดนทีมคู่รักคู่แค้นอย่าง เรอัล มาดริด แย่งแชมป์ไปด้วย ทำให้ไม่เป็นที่จับตามองเท่าไหร่นัก
     จนกระทั่งการเข้ามาคุมทีมของ โจเซ็ป กวาดิโอลาร์ และการจากไปของ แฟรงค์ ไรจ์การ์ด และ โรนัลดินโญ่ เป๊บ กุนซือคนใหม่ ทำอีท่าไหนไม่มีใครทราบ ส่งให้เจ้าหนูตีนระเบิดจากอาร์เจนตินา ยิงไปในฤดูกาลเดียวทั้งสิ้น 38 ประตู จ่ายให้ยิงอีก 18 ในจำนวนการลงสนามทั้งสิ้น 51 นัด!!! มีส่วนช่วยให้ทีมเจ้าบุญทุ่ม คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้ในฤดูกาลที่ 2008/09
     ต่อมาในฤดูกาล 2009-10 เมสซี่ พาทีมบาร์เซโลน่าคว้าแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ ได้สำเร็จ และเขาก็ได้รับรางวัล บัลลง ดอร์ ในวันที่ 1 ธันวาคม 2009 โดยเฉือนเอาชนะ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ไปได้ ต่อมาในวันที่ 19 ธันวาคม เมสซี่ ก็ยิงประตูให้กับทีมเอาชนะ เอสตูเดียนเตส คว้าแชมป์ คลับ เวิลด์ คัพ ซึ่งเป็นแชมป์รายการที่ 6 ของ "เจ้าบุญทุ่ม" ในปีนี้ ทำให้เขาได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของโลก จากการจัดอันดับของฟีฟ่ามาอีกด้วย ส่วนในลา ลีก้า เมสซี่ คว้านักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน เขาทำได้ 47 ประตูและส่งบอลให้เพื่อนยิงประตู 11 ครั้ง จากการแข่งขันทุกรายการในฤดูกาลนี้
     ในฤดูกาล 2010-11 เมสซี่ กดแฮตทริค ช่วยให้ บาร์เซโลน่า เอาชนะ เซบีย่า 4-0 กลับมาคว้าแชมป์ สแปนิช ซูเปอร์ คัพ หลังจากที่พ่ายแพ้มาก่อน 1-3 ในนัดแรก และเขาก็คว้ารางวัล บัลลง ดอร์ ได้อีกครั้ง โดยเอาชนะ ซาบี้ และ อินเนียสต้า เพื่อนร่วมทีมไป ตอนจบฤดูกาล เมสซี่ พาบาร์เซโลน่า คว้าแชมป์ลา ลีก้าได้อีกครั้ง โดยที่เขายิงไปทั้งหมด 31 ประตู และส่งบอลให้เพื่อนยิงอีก 18 ครั้ง ส่วนใน ยูฟ่า แชมเปี้ยน ลีก เขาก็พาทีมคว้าแชมป์มาได้เหมือนกัน โดยเป็นแชมป์สมัยที่ 3 ในรอบ 6 ปีเลยทีเดียว ทำให้ เมสซี่ จบฤดูกาล 2010-11 ด้วยสถิติ ยิงประตูมากถึง 53 ประตู และส่งให้เพื่อนยิงอีก 24 ครั้ง เมื่อรวมทุกรายการ

     ต่อมา ฤดูกาล 2011-12 เมสซี่ ก็พาทีมคว้าแชมป์ สแปนิช ซูเปอร์ คัพ ได้อีกครั้ง โดยเอาชนะอริตลอดกาล อย่าง เรอัล มาดริด ไปได้ และก็พาทีมเอาชนะ ปอร์โต้ คว้าแชมป์ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ
ได้อีกสมัย ต่อมา เขาก็ยิงประตูพา "เจ้าบุญทุ่ม" คว้าแชมป์ คลับ เวิลด์ คัพ ได้อีกเช่นกัน ส่งผลให้เขาสามารถคว้ารางวัล บัลลง ดอร์ ได้อีกครั้ง ซึ่ง เมสซี่ กลายเป็นนักเตะคนที่สี่ ที่คว้าบัลลง ดอร์ ได้ถึง 3 ครั้ง และก็เป็น 3 ครั้งติดต่อกันด้วย ในวันที่ 25 พฤษภาคม เมสซี่ ยิงประตูในนัดชิง โคปา เดล เรย์ ช่วยให้ บาร์เซโลน่า คว้าแชมป์ สมัยที่ 26 ในถ้วยใบนี้ได้สำเร็จ แต่ในลา ลีก้า นั้น เขาไม่สามารถช่วยทีมคว้าแชมป์มาได้ ต้องเสียแชมป์ไปให้กับ เรอัล มาดริด เขาได้รับรางวัลดาวซัลโว เป็นการปลอบใจ โดยเขาซัดไปถึง 50 ประตู เป็นสถิติใหม่ของลา ลีก้า เลยทีเดียว แต่เมื่อรวมทุกรายการในปีนี้ เมสซี่ ยิงไป 73 ประตู และส่งให้เพื่อนทำประตูอีก 29 ครั้ง ซึ่งไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน

     ในฤดูกาล 2012-13 วันที่ 9 ธันวาคม เมสซี่ ยิง 2 ประตู ในเกมที่พบกับ เรอัล เบติส ซึ่งเป็นประตูที่ 85 และ 86 ของเขา ในปี 2012 นี้ ทำลายสถิติของ "ไอ้ลูกระเบิด" แกร์ด มุลเลอร์ ตำนานนักเตะชาวเยอรมัน ที่ยิงได้ 85 ประตู ตั้งแต่ปี 1972 ได้สำเร็จ ซึ่งสุดท้ายแล้ว ตอนสิ้นปี 2012 เขายิงได้ทั้งหมดถึง 91 ประตู ทำให้เขาสามารถคว้ารางวัล บัลลง ดอร์ ได้อีกครั้ง เมสซี่ จึงกลายเป็นนักเตะคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่คว้า บัลลง ดอร์ ได้ถึง 4 ครั้ง สำหรับในลา ลีก้า เขาพาทีมทวงแชมป์กลับมาจาก เรอัล มาดริด ได้สำเร็จ โดย บาร์เซโลน่า ทำคะแนนรวมในลีก ได้ถึง 100 คะแนน ถือเป็นสถิติใหม่ของสโมสร ทำให้ เมสซี่ จบฤดูกาลด้วยตำแหน่งดาวซัลโวอีกครั้ง เป็นการรับรางวัลนี้ 2 ปีซ้อน โดยยิงไป 46 ประตู และส่งให้เพื่อนทำประตูอีก 12 ครั้ง แต่ถ้ารวมทุกรายการในปีนี้ เขายิงไป 60 ประตู และผ่านบอลให้เพื่อนทำประตู 16 ครั้ง

     และในฤดูกาล 2013-14 นี้ เมสซี่ เปิดฤดูกาลด้วยการซัด 2 ประตู และส่งให้เพื่อนทำประตูอีก 1 ครั้ง ในนัดที่ถล่ม เลบานเต้ ไป 7-0 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม และต่อมาในวันที่ 1 กันยายน เขาก็ระเบิดแฮตทริคที่ 23 ในชีวิตการค้าแข้งของตัวเองได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะ บาเลนเซีย ไป 3-2

     สำหรับในทีมชาติอาร์เจนติน่า เมสซี่ ก็เป็นกำลังหลักของทีมชาติอาร์เจนติน่าเรื่อยมาในทุกรายการ ถึงตอนนี้ เขาลงสนามในนามทีมชาติไปแล้วทั้งสิ้น 83 ครั้ง ยิงได้ทั้งหมด 37 ประตู

     คงไม่มีใครสงสัยถึงความสามารถของ เมสซี่ กันอีกแล้ว เพราะเขาคือ นักเตะจอมทำลายสถิติจริงๆ คงต้องรอดูกันต่อไปว่า เขาจะสร้างสถิติอะไรใหม่ๆ ขึ้นในวงการลูกหนังโลกอีกหรือไม่ แต่ด้วยวัยเพียงเท่านี้ ยังมีเวลาให้ เมสซี่ สร้างสรรค์ความมหัศจรรย์ให้ทุกคนได้ดูอีกเหลือเฟือ

ต้น นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม แบ็กขวาหน้าหล่อ ชุดแชมป์ซูซูกิคัพ 2014

.

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Instagram dani13ton

          ต้น นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม แบ็กขวาจอมบุกของทีมชาติไทย หนึ่งในฮีโร่ชุดแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2014 มาทำความรู้จักกับ ต้น นฤบดินทร์ พร้อม ๆ กันเลย

          เรียกว่าเป็นหนึ่งในฮีโร่ของแฟนบอลชาวไทยเลยทีเดียว สำหรับ ต้น นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม แบ็กขวาจอมบุกของทีมชาติไทย หลังเป็นกำลังสำคัญอีกคนที่พาทีมชาติไทยคว้าแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2014 มาครองได้สำเร็จ ซึ่งนอกจากความสามารถในด้านการเล่นแล้ว หนุ่มต้น ก็ยังเป็นผู้เล่นอีกรายที่เนื้อหอมใช่ย่อย ด้วยใบหน้าหล่อตี๋ที่เล่นเอาสาว ๆ หลายคนแอบกรี๊ด

          และหากใครอยากรู้ว่าประวัติ ต้น นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม เป็นอย่างไรนั้น มาทำความรู้จักกับปราการหลังหน้าหล่อรายนี้ไปพร้อม ๆ กัน กับ 10 ข้อที่จะทำให้คุณรู้จัก ต้น นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม มากขึ้น

          1. ต้น นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม เกิดเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2537 เป็นชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปัจจุบัน (2557) อายุ 20 ปี

          2. ต้น นฤบดินทร์ จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาจากโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต สาขาการ
จัดการ มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต

          3. เขานักกีฬาฟุตบอลที่มีความสามารถโดดเด่น เริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุ 11 ปี ก่อนติดทีมชาติไทยตั้งแต่รุ่นอายุ 12 ปี 13 ปี 16 ปี และทีมชาติไทยชุดอายุ 19 ปี

          4. เป็นนักเตะเยาวชนของสโมสรอินทรีเพื่อนตำรวจ ช่วงต้นปี พ.ศ. 2555 ก่อนเซ็นสัญญาย้ายมาเป็นนักเตะอาชีพให้แก่สโมสรฟุตบอลบีอีซี เทโรศาสน ในตำแหน่งกองหลัง

          5. ปัจจุบัน ต้น นฤบดินทร์ ได้เซ็นสัญญาย้ายค่ายไปร่วมกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สวมเบอร์ 13

          6. ต้น นฤบดินทร์ เป็นหนึ่งกำลังสำคัญที่ช่วยให้ทีมช้างศึกไทย สามารถเอาชนะมาเลเซียในรอบชิงชนะเลิศ จนคว้าแชมป์ในศึก เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2014

          7. อีกหนึ่งนักเตะเนื้อหอมจากทีมชาติไทย เพราะนอกจาก ต้น นฤบดินทร์ จะเป็นนักเตะฝีเท้าดีแล้ว ยังมีหน้าตาหล่อใส จนเรียกเสียงกรี๊ดจากสาว ๆ ได้ไม่แพ้ ชาริล ชัปปุยส์ เลยทีเดียว

          8. เรียกได้ว่าหน้าตาดีกันทั้งบ้าน เพราะนอกจาก ต้น นฤบดินทร์ จะเป็นนักเตะสุดหล่อขวัญใจสาว ๆ แล้ว หนุ่มต้นก็ยังมีน้องสาวสุดหวงอย่าง ตาล นฤมล วีรวัฒโนดม ที่มีดีกรีเป็นพิธีกรรายการ สตรอเบอร์รี่ ชีสเค้ก ทางช่อง 3 อีกด้วย

          9. ต้น นฤบดินทร์ ประกาศชัดเจนว่าจุดเด่นของเขาไม่ได้อยู่ที่พรสวรรค์ แต่เป็นพรแสวงที่เกิดจากความขยันของตัวเองตามที่พ่อได้สอนไว้นั่นเอง

          10. แม้จะยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่หากใครคลิกเข้าไปในอินสตาแกรมของแบ็กขวารายนี้ ก็จะรู้ได้ว่า ต้น นฤบดินทร์ มีเจ้าของหัวใจอยู่แล้วนะจ๊ะ แถมยังขยันโพสต์รูปคู่หวาน ๆ กันอีกด้วยสิ
 















10 เรื่องน่ารู้ของ เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ นักฟุตบอลทีมชาติไทย

10  เรื่องน่ารู้ของ เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ นักฟุตบอลทีมชาติไทย

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          10 เรื่องน่ารู้ที่หลายคนอาจยังไม่รู้ของ เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ นักฟุตบอลทีมชาติไทย ที่มากไปด้วยความสามารถและสไตล์การเล่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

          ก้อง เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ ปีกซ้ายประจำทีมชาติไทยชุดคว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2014 ครั้งล่าสุด ทำผลงานได้อย่างโดดเด่น จนเป็นที่รักของแฟนบอลทั่วประเทศ เรามาทำความรู้จักกับนักเตะหนุ่มคนนี้ไปพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า 

เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์
ประวัติ ก้อง เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์

          ชื่อจริง : เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์
          ชื่อเล่น : ก้อง
          วันเกิด : 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2533 
          อายุ : 24 ปี    
          ส่วนสูง : 162 ซม.
          หมายเลขเสื้อ : 4 

10 เรื่องน่ารู้ของ ก้อง เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ 

            1. ก้อง เกริกฤทธิ์ เกิดที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีพ่อเป็นแรงบันดาลใจในการเล่นฟุตบอล ซึ่งพ่อของเขาก็เคยเป็นนักฟุตบอลมาก่อน

             2. เริ่มเล่นฟุตบอลในตำแหน่งกองหน้ากับทีมโรงเรียนจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย จังหวัดชลบุรี ในระดับฟุตบอลนักเรียน ติดทีมชาติชุดเยาวชนตั้งแต่อายุ 14 ปี กระทั่งปี พ.ศ. 2551 ได้เล่นฟุตบอลอาชีพครั้งแรกกับสโมสรศรีราชาและเคยได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของดิวิชั่น 1

เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์

            3. ขณะที่อยู่กับสโมสรศรีราชา เจ้าก้อง ได้รับการคัดเลือกจากไนกี้ให้ไปฝึกซ้อมกับสโมสรบาร์เซโลนา ยอดทีมแห่งลาลีกา ประเทศสเปน เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์เป็นเวลา 1 สัปดาห์ โดยเขามีโอกาสได้ฝึกซ้อมกับโรนัลดินโญ่ สุดยอดนักเตะทีมชาติบราซิลด้วย

           4. จากนั้นก็ถูกดันขึ้นทีมชุดใหญ่ของสโมสรชลบุรี เอฟซี ตามด้วยถูกยืมตัวไปที่สโมสรอีสาน ยูไนเต็ด และสโมสรสิงห์ท่าเรือ เอฟซี ตามลำดับ ซึ่งเขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยการพาทีมสิงห์ท่าเรือ เอฟซี เลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่ไทยลีกได้สำเร็จ จนกระทั่งทีมชลบุรี เอฟซี เรียกตัวกลับไปใช้งานอีกครั้ง

            5. ก้องเป็นคนถนัดซ้ายที่เล่นได้ทั้งตำแหน่งกองหน้า กองกลางตัวรุกคอยสร้างสรรค์เกมให้เพื่อน ๆ และปีกซ้ายจอมเลื้อย

            6. จุดเด่นของก้องอยู่ที่ความเร็วและความคล่องแคล่วที่มาพร้อมกับลีลาการกระชากลากเลื้อยที่โดดเด่น มีทักษะการเปิดบอลและการยิงอันยอดเยี่ยม ทำเอาตัวรับฝ่ายตรงข้ามต้องผวาไปตาม ๆ กัน

เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์
           7. มีของสะสมเป็นพวกโมเดล 3 มิติ ซึ่งเขาบอกว่าการต่อโมเดล 3 มิติ ช่วยฝึกสมาธิให้กับเขาได้เป็นอย่างดี ไม่เพียงเท่านี้ เขายังชอบเที่ยวทะเลด้วย

            8. ทำผลงานอย่างยอดเยี่ยมในรอบรองชนะเลิศนัดที่ 2 ซึ่งพบกับทีมชาติฟิลิปินส์ โดยเจ้าตัวทำคนเดียว 2 ประตู ช่วยให้ทีมชาติไทยชนะด้วยสกอร์ 3-0 และผ่านเข้ารอบไปเจอกับมาเลเซีย กระทั่งช่วยทีมชาติไทยคว้าแชมป์ได้สำเร็จ

           9. ความฝันอันแน่วแน่ของก้องตั้งแต่เด็กที่อยากเป็นนักฟุตบอลทีมชาติ คอยผลักดันให้เขาเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ในนามทีมชาติไทยชุดใหญ่เพื่อลุยศึกต่าง ๆ มากมาย

            10. นอกจากจะพาทีมชาติไทยปลดล็อกกับแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2014 ในรอบ 12 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้เขายังเป็นหนึ่งในนักเตะชุดคว้าแชมป์ซีเกมส์ครั้งที่ 27 ที่ประเทศพม่าในปี 2013 อีกด้วย 

เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์

เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์

เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์

เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์

เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์

เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์

เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์

เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์

เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์

ก้อง เกริกฤทธิ์

ก้อง เกริกฤทธิ์

ก้อง เกริกฤทธิ์

ประวัติของ ดัสกร ทองเหลา


 ประวัติ
     ดัสกร ทองเหลา เกิดเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2526 ที่จังหวัดหนองบัวลำภู เป็นบุตรของนายสะคร และ นางจันโทม ทองเหลา จบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนพณิชยการราชดำเนิน มีผลงานที่สำคัญ คือ เหรียญทอง การแข่งขันฟุตบอล ในกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 21, ครั้งที่ 22 และ ครั้งที่ 23 แชมป์ ฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีค 2010 เมืองทองยูไนเต็ด รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยม สยามโกลเด้นบอล 2010

     ดัสกร ทองเหลา เป็นผู้เล่นใน ตำแหน่ง มิดฟิลด์ ,ตัวทำเกมส์ ของทีมเมืองทองยูไนเต็ด และ ทีมชาติไทย มีทักษะ ในการจ่ายบอล โยนบอลที่แม่นยำ ลูกยิงไกล ลูกฟรีคิก ที่เฉียบคม ซึ่งฤดูกาล 2010 ย้ายมาจาก สโมสรฮองอันยาลาย มาสู่ถิ่น เมืองทองยูไนเต็ด เพียง ฤดูกาลแรก ก็สามารถนำ สโมสรเมืองทองยูไนเต็ด ป้องกัน แชมป์ฟุตบอลสปอนเซอร์ไทยพรีเมียร์ลีค ได้เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน ถือว่าโชว์ฟอร์มได้สุดยอดจริงๆ

10 เรื่องน่ารู้ ชนาธิป สรงกระสินธ์ แข้งร่างเล็กเจ้าของฉายา เมสซี่เจ

เมสซี่เจ ชนาธิป สรงกระสินธ์

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก  BEC-Tero Sasana FCเฟซบุ๊ก Chanathip Songkrasin
          10 เรื่องน่ารู้ของ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ซูเปอร์จิ๋วทีมไทย ฉายา เมสซี่เจ มาทำความรู้จักนักเตะร่างเล็กแต่ฝีเท้าขั้นเทพคนนี้กันเถอะ 

          ชนาธิป สรงกระสินธ์ แข้งร่างเล็กลีลาเหลือร้าย เจ้าของฉายา เมสซี่เจ และผู้ได้รับเลือกให้รับตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำ เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2014 ไซส์โหลดแบบนี้แต่มีดีเกินตัว งั้นลองมาทำความรู้จักกับ เจ ชนาธิป หรือ เมสซี่เจ คนนี้ให้มากขึ้น พร้อม 10 เรื่องน่ารู้ของเขากันหน่อยดีกว่า 


ประวัติ เมสซี่เจ ชนาธิป สรงกระสินธ์
           ชื่อจริง : ชนาธิป สรงกระสินธ์ 
           ชื่อเล่น : เจ 
           วันเกิด : 5 ต.ค. 2536 (อายุ 21)
           น้ำหนัก : 59 กก.
           ส่วนสูง : 160 ซม.
           หมายเลขเสื้อ : 18 

10 เรื่องน่ารู้ของ เมสซี่เจ ชนาธิป สรงกระสินธ์
           1. ผู้ปลุกปั้นให้ เจ ชนาธิป เข้าสู่วงการบอลได้คือพ่อจุ้ง คุณพ่อของเขา ที่ตั้งธงให้ลูกเป็นนักบอลไว้ตั้งแต่เจยังไม่คลอดเลยทีเดียว ปลุกปั้นให้เล่นบอลให้ฝึกซ้อมอย่างมีวินัยมาตั้งเด็ก ๆ 
 
           2. หลังจบ ม.3 ที่โรงเรียนสามพรานวิทยา พ่อจุ้งพาเจเข้ากรุงเทพฯ เพื่อสมัครเรียนโดยเลือกเฉพาะโรงเรียนที่มีทีมฟุตบอลอย่ในเกรดดีเยียม คือ เกรด ก. เท่านั้น แม้จะผิดหวังจากหลายที่เพราะอายุเกินบ้าง โครงการล่มบ้าง แต่สุดท้ายก็มาติดที่พาณิชยการราชดำเนิน ซึ่งมีทีมบอลเกรด ก. สมใจ และเจได้เป็นหนึ่งในทีมที่พาสถาบันคว้าแชมป์ฟุตบอลนักเรียนกรมพลศึกษา 18 ปี ประเภท ก. สำเร็จในปี 2554

           3. "ตัวเล็กกว่าใคร แต่ลีลาบอลเหนือชั้นกว่ารุ่นเดียวกัน" นี่คือสิ่งที่พ่อจุ้งบอกถึงความโดดเด่นในตัวลูกชาย ขณะเจอายุ 16 ปี หลังตามดูบอลรุ่นปี 36 มาหมด แม้นักเตะตัวสูงใหญ่ แต่เรื่องทางบอลลูกชายยังคงได้เปรียบ รออายุ 17-18 เป็นผู้ใหญ่กว่านี้ เจ ชนาธิป ครบเครื่องแน่ ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ 

           4. ด้วยความสูงแค่ 160 เซนติเมตร เจ ชนาธิป เคยถูกปฏิเสธร่วมทีมทีโอที เอฟซี ด้วยเหตุผลว่าตัวเล็กไป แต่สุดท้ายก็ได้เข้าทีมเยาวชนของสโมสรดังแห่งลีกไทยอย่าง บีอีซี เทโรศาสน และสร้างผลงานเพียบ 

           5. จุดแข็งของเจอยู่ที่การลากเลื้อย หลบหลีกฉีกแผงหลังคู่ของฝ่ายตรงข้ามออกเป็นวิ่น ๆ ได้ เรียกได้ว่าเล็กแต่ว่องไว จิ๋วแต่แจ๋วจริง ๆ


           6. แจ้งเกิดในวงการบอลไทยเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ที่น่าจับตามอง ในลีกซูซูกิ คัพ 2012 ด้วยวัย 19 ปี กับตำแหน่งปีกซ้าย โชว์ฟอร์มการเล่นได้อย่างน่าประทับใจ สะดุดตาคอบอลเป็นที่สุด 

           7. ที่มาของฉายา "เมสซี่เจ" มาจากสไตล์การเล่นที่ละม้ายคล้ายคลึงกับยอดนักเตะ ลิโอเนล เมสซี่ แถมยังถนัดซ้ายเหมือนกันด้วย เลยเอาชื่อ เมสซี่+เจ กลายเป็น เมสซี่เจ 

           8. แต่เอาเข้าจริง ๆ เจ เคยให้สัมภาษณ์ว่าไม่ค่อยชอบให้คนเรียกเขาว่า เมสซี่เจ เท่าไร เพราะเขาก็มีชื่อจริง ๆ ของตัวเอง และลีลาการเล่น การคิด และทำ ก็เป็นแบบ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ต่างหาก แต่อย่างน้อยก็ยินดีที่มันเป็นชื่อที่เรียกด้วยความชื่นชมยกย่อง 
 
           9. เป็นผู้ยิง 2 ประตูให้ทีมชาติไทยชนะมาเลเซียไปด้วยสกอร์รวม 4-3 ในศึกซูซูกิคัพ 2014 และได้รับเลือกให้รับตำแหน่ง MPV หรือผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำลีก จากการโชว์ลีลาอันน่าประทับได้ตลอดการแข่งขัน 

           10. พ่อจุ้งแอบกระซิบบอก สาวที่จะมาดูแลลูกชายได้ต้องเป็นแม่บ้านแม่เรือนจริง ๆ เท่านั้น บอกกันตามตรงว่าไม่เคยฝึกให้ลูกชายทำงานบ้าน สอนแต่เล่นบอลอย่างเดียว ว่าที่สะใภ้จึงต้องเก่งงานบ้านงานเรือน ดูแลเจได้ ดูแลบ้านได้ จึงจะเข้ากันได้ดี ..เอ้า สาว ๆ ทราบแล้วเปลี่ยนนะจ๊ะ  :D